ภาคีอนุรักษ์โครงการ StAR ประเทศไทยร่วมปล่อยฉลามเสือดาว 4 ตัวที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงติดตามการเคลื่อนที่คืนสู่ธรรมชาติรวมตลอดปีปล่อยแล้ว 7 ตัว
จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย (8 ธันวาคม 2568) – ภาคีโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว หรือโครงการ StAR ประเทศไทย (Stegostoma tigrinum Augmentation and Recovery Project Thailand) ร่วมปล่อยฉลามเสือดาวอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific leopard shark: Stegostoma tigrinum) ที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียง (Acoustic tag) ติดตามการเคลื่อนที่คืนสู่ธรรมชาติจำนวน 4 ตัว จากพื้นที่โรงแรมเกาะไม้ท่อน ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะห่างจากชายฝั่งจังหวัดภูเก็ตไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 9 กิโลเมตร ในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของโครงการ StAR ประเทศไทยที่มีเป้าหมายในการฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว สัตว์ป่าคุ้มครองของไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ เพื่อช่วยฟื้นคืนจำนวนประชากรและความสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการังของทะเลไทย โดยภาคีโครงการได้ปล่อยฉลามเสือดาวจำนวน 3 ตัวแรก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมตลอดทั้งปี 2568 ปล่อยฉลามเสือดาวกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้ว 7 ตัว
ฉลามเสือดาวทั้งสี่ตัว ได้แก่ ไม้ท่อน (Maiton) โฮป (Hope) สปอต (Spot) และ โทตี้ (Toty) ปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยประมาณเกือบสองปีและมีความยาวตลอดตัวประมาณ 100-140 เซนติเมตร ฉลามเสือดาวของโครงการทั้งหมดเกิดจากความสำเร็จของโครงการเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาวของอควาเรีย ภูเก็ต (Aquaria Phuket) พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเอกชนในจังหวัดภูเก็ต และได้รับการอนุบาลโดยเจ้าหน้าที่ดูแลฉลามโครงการ StAR ประเทศไทย เพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมทางทะเลตามธรรมชาติและฝึกการหาอาหารด้วยตนเองในพื้นที่คอกทะเลบนเกาะไม้ท่อน

ในช่วงก่อนการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ตัวแทนภาคีโครงการ StAR ประเทศไทย ได้ร่วมกันอวยพรโดยเทน้ำทะเลที่มีกลีบดอกไม้ลงสู่ผืนน้ำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถนาดีให้ฉลามทั้งสี่ตัว เดินทางกลับคืนสู่ถิ่นอาศัยตามธรรมชาติอย่างปลอดภัยและแข็งแรง


“ฉลามเสือดาวคือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศแนวปะการัง รักษาความสมดุลของสิ่งมีชีวิต และเป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาดำน้ำ สร้างรายได้และความรักในท้องทะเลไทย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในฐานะหน่วยงานหลักด้านการศึกษา วิจัย และการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ได้ดำเนินการร่วมกับภาคีอนุรักษ์โครงการ StAR ประเทศไทย ตั้งแต่การรับลูกฉลามเสือดาวจากอควาเรีย ภูเก็ต มาอนุบาลและฝึกฝนลูกฉลามเสือดาวให้กินอาหารเลียนแบบธรรมชาติในคอกทะเล ณ เกาะไม้ท่อน เพื่อให้ฉลามเสือดาวมีความพร้อมก่อนจะปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ทีมสัตว์แพทย์ของกรมยังได้ตรวจเช็คสุขภาพและผ่าตัดติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงในฉลามเสือดาวร่วมกับทีมสัตวแพทย์จากโอเชียนปาร์ค ฮ่องกง นอกจากนี้ เราได้ทำงานร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการติดตั้งและเก็บข้อมูลจากเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำ เพื่อให้สามารถติดตามพฤติกรรม การเคลื่อนที่ และอัตราการรอดหลังปล่อยฉลามเสือดาวคืนสู่ธรรมชาติ การปล่อยฉลามเสือดาวคืนสู่ธรรมชาติในวันนี้ เป็นการแสดงพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึงภาคประชาชน อย่างชุมชนนักดำน้ำ ที่จะคืนชีวิตให้กับท้องทะเลไทย และส่งต่อความสมดุลของระบบนิเวศให้กับคนรุ่นต่อไป” ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว

โครงการ StAR ประเทศไทย เป็นโครงการระดับนานาชาติริเริ่มโดยองค์กร ReShark ถือเป็นโครงการฟื้นฟูประชากรฉลามใกล้สูญพันธุ์โครงการแรกของประเทศไทย เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐของไทย ภาคเอกชน และองค์กรอนุรักษ์ ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) กรมประมง (ปม.) อควาเรีย ภูเก็ต (Aquaria Phuket) โรงแรมเกาะไม้ท่อน องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) องค์กรโอเชียน บลู ทรี (Ocean Blue Tree) และนักวิจัยด้านฉลามและกระเบนกลุ่ม Thai Sharks and Rays โดยมีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาวในธรรมชาติ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองใกล้สูญพันธุ์ของไทย ที่มีบทบาทสำคัญต่อการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการัง ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยง ปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ และติดตามหลังการปล่อยโดยอิงตามหลักวิทยาศาสตร์
ในอดีตสามารถพบเห็นฉลามเสือดาวได้เป็นประจำบริเวณแหล่งดำน้ำในน่านน้ำไทย แต่ข้อมูลจากชุมชนนักดำน้ำพบว่า การพบเห็นฉลามเสือดาวลดลงอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักจากการติดเครื่องมือประมงโดยไม่ตั้งใจ (bycatch) และการเสื่อมโทรมของแนวปะการัง จากผลการประเมินความสามารถในการดำรงอยู่ของประชากรฉลามเสือดาวในประเทศไทย (Population Viability Analysis: PVA) จัดทำโดย ดร.ฟิลลิป เอส. มิลเลอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์และข้อมูล กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนอนุรักษ์ขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN SSC Conservation Planning Specialist Group) ประเมินว่า จำนวนฉลามเสือดาวในทะเลอันดามันในปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 57–172 ตัวเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับขีดความสามารถในการรองรับในถิ่นอาศัยที่เหมาะสมในทะเลอันดามัน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,000 ตัว ประชากรจำนวนน้อยเช่นนี้มีความเสี่ยงสูงต่อปัจจัยด้านประชากรศาสตร์และการสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือภัยคุกคาม ประชากรจะมีความสามารถในการรับมือและฟื้นตัวจากความสูญเสียได้ต่ำมาก ดังนั้นการฟื้นฟูประชากรในธรรมชาติอย่างโครงการ StAR ประเทศไทย จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อสนับสนุนการเพิ่มจำนวนประชากรในธรรมชาติให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และช่วยคงความหลากหลายทางพันธุกรรมในระยะยาว


“ข้อมูลระยะยาวจากโครงการวิทยาศาสตร์พลเมือง Spot the Leopard Shark – Thailand แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการลดลงของประชากรฉลามเสือดาว ข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกนำไปใช้ในแบบจำลองการประเมินความสามารถในการดำรงอยู่ของประชากรฉลามเสือดาวในประเทศไทย (PVA) ซึ่งผลการประเมินบ่งชี้ว่า แม้ฉลามเสือดาวยังคงมีอยู่ในน่านน้ำไทย แต่จำนวนประชากรที่เล็กนี้ เป็นสภาวะที่เปราะบางต่อปัจจัยเสี่ยงที่ไม่คาดคิด และอาจส่งผลให้ประชากรลดลงได้อีก ขณะเดียวกันแบบจำลอง PVA ได้แสดงให้เห็นว่า โครงการฟื้นฟูประชากรด้วยการเพาะเลี้ยงและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติที่มีพื้นฐานตามหลักวิทยาศาสตร์ และมีกระบวนการที่ชัดเจนอย่างโครงการ StAR ประเทศไทย จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานต่อปัจจัยเสี่ยงและความสามารถในการปรับตัวของประชากร เพิ่มอัตราการเติบโต และลดการสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรมในอนาคตได้ เราขอขอบคุณความร่วมมือของภาคีทุกภาคส่วน รวมถึงภาคประชาชนอย่างชุมชนนักดำน้ำ ที่ทำให้เราได้เห็นว่าความพยายามในการฟื้นฟูฉลามเสือดาวเกิดขึ้นได้จริงจากน้ำพักน้ำแรงของทุกๆ คน” นางสาวเมธาวี จึงเจริญดี ผู้จัดการโครงการ StAR ประเทศไทย องค์กรไวล์ดเอด กล่าว

ฉลามเสือดาว เป็นฉลามเพียงไม่กี่ชนิดในโลกที่สามารถเพาะพันธุ์ได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาวซึ่งเป็นสัตว์ท้องถิ่นในทะเลอันดามัน อย่าง อควาเรีย ภูเก็ต จึงเป็นหนึ่งในภาคีโครงการที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูประชากรฉลามชนิดนี้และยังสนับสนุนการเรียนรู้แก่สาธารณะชน
“ในนามของอควาเรีย ภูเก็ต เราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เป็นสถาบันแห่งแรกในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาว การได้เห็นฉลามเสือดาวที่เราเลี้ยงดูเจริญเติบโต มีสุขภาพแข็งแรง และพร้อมกลับคืนสู่ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ถือเป็นรางวัลอันล้ำค่าสำหรับทีมงานของเรา และความมุ่งมั่นต่อการอนุรักษ์ท้องทะเล ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความทุ่มเทและความเชี่ยวชาญของทีมดูแลสัตว์น้ำของเรา แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการนำองค์ความรู้ด้านการเพาะเลี้ยงและการศึกษาวิจัยไปสู่การอนุรักษ์ในพื้นที่ธรรมชาติอย่างแท้จริง ความสำเร็จนี้ยังเป็นผลลัพธ์จากความทุ่มเท ความร่วมมือของภาคีอนุรักษ์ทุกภาคส่วนภายใต้โครงการ StAR ประเทศไทย ซึ่งได้ช่วยกันขับเคลื่อนการอนุรักษ์และปกป้องท้องทะเลของเราให้เกิดความก้าวหน้าและมีคุณค่าอย่างแท้จริง” นายดาริล ฟุง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม อควาเรีย ภูเก็ต กล่าว

คอกทะเลที่โรงแแรมเกาะไม้ท่อน เป็นบ้านชั่วคราวตั้งแต่ลูกฉลามอายุได้ราว 1 ปี 2 เดือน โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลฉลามอย่างใกล้ชิดในระหว่างที่พวกมันปรับตัวให้คุ้นเคยกับกระแสน้ำ คลื่น และระดับน้ำทะเลตามธรรมชาติ โดยได้กระตุ้นพฤติกรรมการหาอาหารตามธรรมชาติ ด้วยการโปรยและซ่อนอาหารไว้ใต้พื้นทรายภายในคอกทะเล ตลอดจนเปิดโอกาสให้ลูกฉลามได้ค้นหาอาหารธรรมชาติประเภทอื่น ๆ ภายในพื้นที่ดังกล่าวด้วยตนเอง
“เกาะไม้ท่อนมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีอนุรักษ์โครงการ StAR ประเทศไทย เราเชื่อว่าการมีส่วนร่วมในการอนุบาลและฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาวเหล่านี้ คือก้าวเล็ก ๆ ที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ในการพัฒนาและรักษาทรัพยากรทางทะเลของประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พัฒนาสภาพแวดล้อมทางทะเล โดยร่วมมือกันทั้งกับภาครัฐและภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อว่า การอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งมิได้เป็นแค่เพียงความรับผิดชอบ แต่คือพันธกิจร่วมกันของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกันรักษาทรัพยากรชายฝั่งทะเลให้คงความงดงามและอุดมสมบูรณ์เป็นมรดกตกทอดสู่ชนรุ่นหลังสืบต่อไป ทั้งนี้ ในช่วงที่ฉลามเสือดาวอนุบาลอยู่ในคอกทะเลที่เกาะไม้ท่อนนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และน่าตื่นตาตื่นใจของพวกเราทีมงาน เรามีโอกาสได้เห็นลวดลายอันงดงามและสังเกตพฤติกรรมธรรมชาติของพวกมันอย่างใกล้ชิด เราเชื่อว่าหากจำนวนประชากรของฉลามเสือดาวในน่านน้ำไทยได้รับการฟื้นฟูกลับมาได้อีกครั้ง ในอนาคตจะยิ่งช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยว และประชาชนทุกภาคส่วนหันมาใส่ใจเรียนรู้และร่วมอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ในท้องทะเลไทยอย่างเข้มแข็งและจริงจังอีกครั้ง” นายโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) กล่าว

เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยฉลามเสือดาวกลับคืนสู่ธรรมชาติ ทีมสัตวแพทย์จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ตรวจสุขภาพฉลามทั้งสี่ตัวอย่างละเอียด ก่อนติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงเพื่อติดตามการเคลื่อนที่ (Acoustic tag) โดยอุปกรณ์ดังกล่าวมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 5 ปี และสามารถส่งสัญญาณเสียงความถี่เฉพาะตัวที่ตรวจจับได้ด้วยเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำ (Acoustic receiver) จำนวน 20 จุดที่ติดตั้งในอ่าวพังงา ครอบคลุมพื้นที่จากชายฝั่งในจังหวัดพังงา กระบี่ และภูเก็ต เพื่อประโยชน์ในการติดตามการเคลื่อนที่ฉลามเสือดาวหลังการปล่อยสู่ธรรมชาติ ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่อ้างอิงจากข้อมูลโครงการวิทยาศาสตร์พลเมือง ‘Spot the Leopard Shark – Thailand’ ว่าเป็นจุดที่มักพบฉลามเสือดาวและเป็นแหล่งอาศัยสำคัญของฉลามชนิดนี้ เมื่อฉลามที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียงว่ายเข้ามาในระยะไม่เกิน 500 เมตรจากเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำ เครื่องจะบันทึกสัญญาณรหัสประจำตัวของแท็กที่มีรหัสเฉพาะในแต่ละตัว พร้อมทั้งวันและเวลาโดยอัตโนมัติ

“กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ฉลามเสือดาว เนื่องจากอุทยานแห่งชาติทางทะเล อย่างอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญของฉลามเสือดาว เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมที่สำคัญในโครงการนี้ ในช่วงเดือนสิงหาคมและพฤศจิกายนที่ผ่านมา เราได้ดำเนินงานร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง องค์กรไวล์ดเอด และองค์กร โอเชียน บลู ทรี ภายใต้โครงการ StAR ประเทศไทยในการติดตั้งเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำ เพื่อใช้ในการติดตามการเคลื่อนที่ของฉลามเสือดาวที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเสียง รวมทั้งร่วมเก็บข้อมูลหลังการปล่อยฉลามเสือดาวชุดแรก ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการศึกษาพฤติกรรมและอัตราการรอดของฉลามเสือดาวหลังปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการวิจัยและการติดตามประชากรฉลามเสือดาวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล เพื่อคงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ของสัตว์ทะเลและแหล่งที่อยู่อาศัยในทะเลไทยต่อไป” นางสายสุดใจ ชุนเชาวฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าว


ผลการเก็บข้อมูลจากเครื่องรับสัญญาณเสียงใต้น้ำเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยืนยันการพบฉลามทั้งสามตัว ได้แก่ ‘มาหยา’ ‘สิมิลัน’ และ ‘จิงเจอร์’ ที่ปล่อยไปก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน ในรัศมีไม่เกิน 16 กิโลเมตรจากจุดที่ปล่อย ในช่วงเวลา 50 วันหลังการปล่อย โดยพบที่บริเวณเกาะดอกไม้ จังหวัดภูเก็ต เกาะไข่นอก จังหวัดพังงา และหินมูสัง (Shark Point) ใกล้เกาะพีพี ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าฉลามสามารถออกสำรวจพื้นที่ และบ่งชี้ว่าบริเวณเหล่านี้เป็นถิ่นอาศัยที่เหมาะสมสำหรับให้ลูกฉลามหาอาหารและเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
โครงการ StAR ประเทศไทย ยังสนับสนุนเป้าหมายในการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศ โดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามประเทศไทย (NPOA–Sharks) ผ่านการสนับสนุนงานวิจัย การเพาะพันธุ์ และการปล่อยฉลามคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งมีกรมประมง เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานแผนดังกล่าวอีกด้วย
“กรมประมงมีความยินดีกับก้าวสำคัญของโครงการในวันนี้ การปล่อยฉลามเสือดาวที่มีแนวปฏิบัติอิงตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างเข้มข้นของโครงการ StAR ประเทศไทย ถือเป็นแบบอย่างที่สำคัญของการฟื้นฟูประชากรสัตว์ทะเลด้วยการเพาะเลี้ยงและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ กรมประมงในฐานะหน่วยงานหลักที่จัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย (NPOA-Sharks) ซึ่งมุ่งเน้นการจัดการทรัพยากรในทะเลอย่างยั่งยืน จะสนับสนุนการสร้างความตระหนักถึงการอนุรักษ์ ติดตามการอยู่รอด การส่งเสริมการศึกษาวิจัย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ตลอดจนการกำหนดมาตรการควบคุมการประมง เพื่อให้เกิดการคุ้มครองฉลามเสือดาว รวมถึงฉลามที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ การปล่อยฉลามเสือดาวครั้งนี้ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการร่วมกันฟื้นฟูประชากรฉลามในทะเลไทยอย่างยั่งยืน” ดร. ฐิติพร หลาวประเสริฐ อธิบดีกรมประมง กล่าว
เพื่อสนับสนุนการติดตามฉลามที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ทีมงานโครงการ StAR ประเทศไทย กำลังเดินสายประชาสัมพันธ์โครงการกับผู้ประกอบการดำน้ำลึกและเรือดำน้ำในจังหวัดภูเก็ต เพื่อขอความร่วมมือช่วยเชิญชวนชุมชนนักดำน้ำให้ส่งภาพถ่ายหรือวิดีโอของฉลามเสือดาวที่พบในน่านน้ำไทย ผ่านเพจ “Spot the Leopard Shark – Thailand” อย่างต่อเนื่อง เพราะภาพถ่ายและวิดีโอเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการติดตามฉลามเสือดาวที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติและการประเมินแนวโน้มประชากรในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฉลามที่พบเห็นเป็นหนึ่งในฉลามภายใต้โครงการนี้
นอกจากนี้ ขอความร่วมมืองดสัมผัสหรือเคลื่อนย้ายอุปกรณ์รับสัญญาณเสียงใต้น้ำ โดยอุปกรณ์เหล่านี้มีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย และมีความสำคัญต่อการวิจัย และหากพบอุปกรณ์ที่ชำรุดหรือเสียหาย โปรดแจ้งเข้ามาที่เพจ “Spot the Leopard Shark – Thailand” ได้เช่นเดียวกัน







