2025
ภาคีอนุรักษ์ระดับนานาชาติจับมือภาครัฐและเอกชนเปิดตัวโครงการ StAR ประเทศไทย เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาวใกล้สูญพันธุ์
จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย (16 พฤษภาคม 2568) – โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว หรือ โครงการ StAR ประเทศไทย (Stegostoma tigrinum Augmentation and Recovery) ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จังหวัดภูเก็ต โดยเป็นภาคีความร่วมมือระดับนานาชาติจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐของไทย ภาคเอกชน และองค์กรอนุรักษ์ ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) กรมประมง (ปม.) อควาเรีย ภูเก็ต โรมแรมเกาะไม้ท่อน องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) องค์กรโอเชี่ยน บลู ทรี (Ocean Blue Tree) นักวิจัยด้านฉลามและกระเบน กลุ่ม Thai Sharks and Rays โดยมีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรปลาฉลามเสือดาวอินโด-แปซิฟิก (Stegostoma tigrinum) สัตว์ป่าคุ้มครองใกล้สูญพันธุ์ของไทย ที่มีบทบาทสำคัญต่อการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการัง ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงและปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติในถิ่นอาศัยดั้งเดิมของพวกมัน

ข้อมูลที่ได้จากการบอกเล่าของชุมชุนนักดำน้ำในไทยพบว่า ทะเลไทยเป็นแหล่งที่อยู่สำคัญของฉลามเสือดาว โดยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว นักดำน้ำจะเจอฉลามชนิดนี้เป็นประจำในฝั่งทะเลอันดามัน แต่ปัจจุบันพบเห็นได้น้อยลง โดยภัยคุกคามหลักของฉลามเสือดาวได้แก่ การถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้ (bycatch) และการเสื่อมโทรมของแนวปะการัง ปัจจุบันฉลามเสือดาวมีสถานะ “ใกล้สูญพันธุ์” ทั้งในบัญชีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) และการประเมินสถานะของชนิดพันธุ์ที่กำลังถูกคุกคามภายในประเทศ หรือ Thailand Red Data โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว หรือ StAR ประเทศไทย เป็นโครงการระดับนานาชาติริเริ่มโดยองค์กร ReShark ซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติที่ประกอบด้วยองค์กรอนุรักษ์กว่า 100 แห่ง รวมถึงสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ หน่วยงานภาครัฐ และพันธมิตรอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายฟื้นฟูประชากรฉลามและกระเบนที่ใกล้สูญพันธุ์ทั่วโลก โดยเริ่มต้นขึ้นที่หมู่เกาะราชาอัมพัต ประเทศอินโดนีเซียเป็นที่แรกของโลกเมื่อปี พ.ศ. 2565 การเปิดตัวโครงการในประเทศไทยเป็นแห่งที่สองถือเป็นก้าวสำคัญ และสอดคล้องกับการที่ประเทศไทยยกระดับความสำคัญของฉลามเสือดาวให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังถือเป็นแหล่งอาศัยสำคัญของฉลามเสือดาว โดยมีพื้นที่หลักสองแห่ง ได้แก่ หมู่เกาะพีพี และหมู่เกาะสิมิลัน-สุรินทร์ ได้รับการรับรองให้เป็น “พื้นที่สำคัญของฉลามและกระเบน” (Important Shark and Ray Areas – ISRAs) จากการพิจารณาโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านฉลามขององค์การ IUCN


โครงการในประเทศไทยเริ่มขึ้นอย่างไม่เป็นทางการเมื่อปีที่แล้ว โดยการสานต่อโครงการ “Spot the Leopard Shark – Thailand” ซึ่งเป็นโครงการวิทยาศาสตร์พลเมืองที่เชิญชวนให้นักดำน้ำร่วมส่งภาพถ่ายและวิดีโอการพบเห็นฉลามเสือดาวที่ถ่ายได้ในน่านน้ำไทย เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ประเมินจำนวน พฤติกรรมและแหล่งที่อยู่อาศัย โครงการนี้ริเริ่มครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2556 ที่หมู่เกาะพีพี โดยความร่วมมือระหว่าง ดร.คริสติน ดัดเจียน จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย และ ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ จากศูนย์ชีววิทยาทางทะเล ภูเก็ต กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จนถึงปัจจุบัน โครงการได้รวบรวมภาพถ่ายมากกว่า 1,332 ภาพ และสามารถระบุฉลามเสือดาวได้ 278 ตัว ระหว่างพ.ศ. 2547–2568 ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มประชากรและแหล่งอาศัยของพวกมัน
“เนื่องจากประชากรของฉลามและกระเบนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง การฟื้นฟูเป็นเรื่องที่ท้าทายเนื่องจากพวกมันมีการเจริญเติบโตช้า โตเต็มวัยช้า และมีอัตราการสืบพันธุ์ต่ำ การเพาะเลี้ยงและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ (rewilding) จึงเป็นความหวังสำคัญในการรักษาประชากรไว้และช่วยส่งเสริมอัตราการฟื้นตัวของประชากร นอกจากนั้น เรายังจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อลดภัยคุกคามทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อฉลามและกระเบน ตั้งแต่เรื่องการทำประมงเกินขนาดไปจนถึงการทำลายถิ่นอาศัย” เมธาวี จึงเจริญดี ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว StAR Project Thailand องค์กรไวล์ดเอด กล่าว
ขณะนี้ ทีมงานโครงการ StAR ได้เคลื่อนย้ายลูกฉลามเสือดาวจำนวน 9 ตัว อายุประมาณ 1 ปี 2 เดือน ขนาดประมาณ 80-110 เซนติเมตร ที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของ ‘อควาเรีย ภูเก็ต’ จากศูนย์ชีววิทยาทางทะเล ภูเก็ต ไปยังคอกทะเลที่สร้างขึ้นใหม่ที่โรงแรมเกาะไม้ท่อน ซึ่งจะเป็นแหล่งอาศัยชั่วคราวเพื่อให้ลูกฉลามปรับตัวก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในอนาคต

นอกจากนี้ โครงการอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ความสามารถในการดำรงอยู่ของประชากร (Population Viability Analysis) เพื่อประเมินความเสี่ยงของการสูญพันธุ์ของฉลามเสือดาวในประเทศไทย และคาดการณ์แนวโน้มการเพิ่มหรือลดลงของประชากรในอนาคต ผลจากการวิเคราะห์ดังกล่าวจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดแนวทางการอนุรักษ์ในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการกำหนดพื้นที่สำหรับปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ จำนวนฉลามเสือดาวที่เหมาะสมต่อการปล่อย รวมถึงการกำหนดมาตรการติดตามหลังการปล่อยเพื่อศึกษาอัตราการรอด
“ฉลามเสือดาว มีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล ทำหน้าที่รักษาสมดุลของสิ่งมีชีวิตในทะเล อีกทั้งเป็นสัตว์ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวดำน้ำจากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางมายังประเทศไทย ที่ผ่านมากรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ดำเนินการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ประชากรฉลามเสือดาว ตลอดจนผลักดันให้ฉลามเสือดาวได้รับการประกาศเป็นสัตว์คุ้มครอง กรม ทช. ร่วมกับองค์กรภาคีที่เกี่ยวข้อง มีความพยายามอย่างยิ่งในการนำลูกปลาฉลามเสือดาวที่ได้จากการเพาะฟักมาเลี้ยงอนุบาล โดยนำมาฝึกเลี้ยง และฝึกให้กินอาหารเลียนแบบธรรมชาติในคอกเลี้ยง (sea pen) เพื่อให้ฉลามเสือดาวได้รับการปรับตัวก่อนที่จะปล่อยกลับคืนสู่ทะเล กระผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่วันนี้ได้เห็นความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรอนุรักษ์ และภาคเอกชน ในการผนึกกำลังร่วมกันเพื่อที่จะอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเพิ่มจำนวนประชากรฉลามเสือดาว ให้คงอยู่ในท้องทะเลไทยสืบไป” นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว
โครงการ StAR ให้ความสำคัญกับขั้นตอนก่อนการปล่อยลูกฉลามคืนสู่ธรรมชาติ โดยให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางพันธุกรรม (genetics) การใช้ไข่ที่มาจากพ่อแม่พันธุ์ที่เหมาะสมจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำพันธมิตรทั่วโลก และทำการศึกษาอย่างเข้มข้น รวมถึงการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมของพ่อแม่พันธุ์จาก อควาเรีย ภูเก็ต เพื่อยืนยันว่าลูกฉลามเหล่านี้เป็นกลุ่มพันธุกรรมเดียวกันกับที่พบในน่านน้ำไทย ลูกฉลามเสือดาว 9 ตัวแรกของโครงการ StAR ประเทศไทย มีที่มาจากความสำเร็จของโครงการเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาวของอควาเรีย ภูเก็ต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอนุรักษ์ของบริษัท Aquawalk Group ที่มีเป้าหมายฟื้นฟูระบบนิเวศที่กำลังถูกคุกคาม และสนับสนุนการวิจัยที่สำคัญด้านความยั่งยืนทางทะเล

“อควาเรีย ภูเก็ต ภูมิใจที่เราเป็นสถานที่แรกในประเทศไทยที่สามารถเพาะพันธุ์ฉลามเสือดาวได้สำเร็จ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถของบุคลากรและความมุ่งมั่นของเราในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับสัตว์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเรา” คุณดารีล ฟุง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร อควาเรีย ภูเก็ต กล่าว
อควาเรีย ภูเก็ต มุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถเพื่อสนับสนุนการให้ความรู้ ส่งเสริมการอนุรักษ์ และความยั่งยืนผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญภาคสนาม และหน่วยงานภาครัฐ “มหาสมุทรและระบบนิเวศทางทะเลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของโลกและมนุษยชาติ” คุณดารีล กล่าวเสริม “ผมหวังว่าเราจะสามารถส่งต่อความงดงามและความน่ามหัศจรรย์ของมหาสมุทรให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไปอีกหลายชั่วอายุคน”
คอกทะเลที่โรงแรมเกาะไม้ท่อน ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะห่างจากชายฝั่งจังหวัดภูเก็ตไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 9 กิโลเมตร จะเป็นบ้านชั่วคราวของลูกฉลามทั้ง 9 ตัวในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลฉลามดูแลอย่างใกล้ชิดในระหว่างที่พวกมันปรับตัวให้คุ้นเคยกับกระแสน้ำ คลื่น และระดับน้ำทะเลตามธรรมชาติ โดยจะมีการกระตุ้นพฤติกรรมการหาอาหารตามธรรมชาติ โดยการโปรยและซ่อนอาหารไว้ภายในคอกทะเล ตลอดจนเปิดโอกาสให้ลูกฉลามได้ค้นหาอาหารธรรมชาติประเภทอื่น ๆ ภายในพื้นที่ดังกล่าวด้วยตนเอง


“โรงแรมเกาะไม้ท่อน รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในภาคีภาคเอกชนสนับสนุนโครงการนี้ ในฐานะของการเป็นบ้านชั่วคราวให้กับลูกฉลามเสือดาวจำนวน 9 ตัว นับเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศใต้ทะเล ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโรงแรมเกาะไม้ท่อน ได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ และร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินโครงการปลูกปะการังรอบเกาะไม้ท่อน ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือกิจกรรมดำน้ำเก็บขยะ ภายใต้เป้าหมายสูงสุดในการรักษาความสมดุลให้แก่ระบบนิเวศใต้ทะเล ตลอดจนฟื้นฟูและสร้างความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย เพื่อส่งต่อความงดงามนี้สู่คนรุ่นต่อไป” นายเฉลิมพงษ์ ปทุมโชติสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ฮันนิมูน ไพรเวท ไอซ์แลนด์ (ภูเก็ต) จำกัด (โรงแรมเกาะไม้ท่อน) กล่าว
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา องค์กรไวล์ดเอด และโอเชี่ยน บลู ทรี ในฐานะองค์กรที่ดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาว StAR ในประเทศไทย ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในด้านเทคนิคการเก็บข้อมูลฉลามและกระเบนให้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐหลักทั้งสามกรม ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมประมง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของหน่วยงานพันธมิตรโครงการ StAR ในการผลักดันการอนุรักษ์ฉลามในประเทศไทยให้มีความก้าวหน้านอกเหนือจากความพยายามในการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์ อย่างฉลามเสือดาว


นอกจากนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมประมง จะทำงานร่วมกับภาคีในโครงการในส่วนของการระบุพื้นที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับการปล่อยคืนธรรมชาติ การคุ้มครองและติดตามผลหลังการปล่อย และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ป่าคุ้มครอง
“โครงการศึกษาวิจัยฉลามครีบดำที่อ่าวมาหยา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติฯ กับนักวิจัยจากกลุ่ม Thai Sharks and Rays แสดงให้เห็นแล้วว่า การสนับสนุนงานวิจัยร่วมกับการมีมาตรการจัดการการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพมีส่วนช่วยให้ประชากรฉลามกลับมายังถิ่นอาศัยเดิม ผมจึงเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำด้านการอนุรักษ์ฉลามได้ และกรมอุทยานฯ มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในโครงการนี้” นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าว
ขณะที่กรมประมงจะช่วยอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการขนส่งไข่ของฉลามเสือดาวจากภาคีอื่น ๆ ของโครงการทั้งในและต่างประเทศในอนาคต
“กรมประมง ในฐานะหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย (NPOA-Sharks) มีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการศึกษาวิจัย และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเพาะพันธุ์และการปล่อยฉลามคืนสู่ธรรมชาติ เรายินดีให้การสนับสนุนโครงการ StAR เพื่อฟื้นฟูประชากรฉลามเสือดาวกลับคืนสู่ทะเลไทยที่มีแนวปฏิบัติอิงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างเข้มข้น” นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง กล่าว
โครงการ StAR ประเทศไทย จะดำเนินเข้าสู่ระยะที่สองในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ โดยจะมีการติดอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งให้กับลูกฉลามก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ขั้นตอนนี้จะช่วยให้โครงการสามารถติดตามการเคลื่อนย้ายของฉลามเสือดาว และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีมาตรการคุ้มครองและติดตามอัตราการรอดหลังการปล่อยที่มีประสิทธิภาพ








2024
องค์กรไวล์ดเอดเผยผลสำรวจพบ คนเมืองกินหูฉลามลดลงราว 34% ขอบคุณคนไทยที่ #ฉลองไม่ฉลาม
เนื่องในวันรู้จักฉลาม องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) เปิดเผยรายงานผลสำรวจความต้องการบริโภคหูฉลามและเนื้อฉลามในประเทศไทย พ.ศ. 2566 จัดทำโดยบริษัทวิจัยแรพพิด เอเชีย (Rapid Asia) พบว่า คนไทยในเขตเมืองกินหูฉลามลดลงร้อยละ 34 ในช่วง 6 ปีมานี้ หรือเทียบเท่า การเสิร์ฟหูฉลามที่ลดลงไป 8.1 ล้านครั้ง
2024
ไวล์ดเอดเปิดตัวโครงการวิทยาศาสตร์พลเมือง “Spot the Leopard Shark – Thailand” ในงาน Thailand Dive Expo (TDEX) 2024 ชวนนักดำน้ำอัปโหลดภาพถ่ายฉลามเสือดาว
ไวล์ดเอดเปิดตัวโครงการวิทยาศาสตร์พลเมือง “Spot the Leopard Shark – Thailand” ในงาน TDEXชวนนักดำน้ำอัปโหลดภาพถ่ายฉลามเสือดาว
2024
“องค์กรอนุรักษ์ยื่นหนังสือชวนรัฐสภา #ฉลองไม่ฉลาม เลิกเสิร์ฟเมนูฉลามในทุก ๆ โอกาส”
องค์กร WildAid และ Love Wildlife ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงรัฐสภาเพื่อขอความร่วมมือให้เลิกเสิร์ฟหูฉลามในรัฐสภา
2023
ไวล์ดเอด-ทีมนักวิจัยเผยผลวิจัยดีเอ็นเอพบหูฉลามที่ขายในไทยกว่า 60% มาจากฉลามที่เสี่ยงสูญพันธุ์
ไวล์ดเอด-ทีมนักวิจัยเผยผลวิจัยดีเอ็นเอพบหูฉลามที่ขายในไทยกว่า 60% มาจากฉลามที่เสี่ยงสูญพันธุ์
14 กรกฎาคม 2566 – เนื่องในวันรู้จักฉลาม ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี องค์กรไวล์เอด (WildAid) ร่วมกับทีมนักวิจัยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กรมประมง และนักวิจัยอิสระ เผยผลการศึกษาดีเอ็นเอจากผลิตภัณฑ์หูฉลามที่ขายในไทยพบ ชนิดพันธุ์ฉลามส่วนใหญ่ (62%) มีสถานภาพเสี่ยงสูญพันธุ์ ชวนทุกคน #ฉลองไม่ฉลาม ในทุก ๆ โอกาส
นักวิจัยสจล. ร่วมกับกรมประมงเก็บตัวอย่างครีบปลาฉลาม 206 ตัวอย่างจากแหล่งค้าในหลายจังหวัด โดยผลการระบุชนิดพันธุ์ปลาฉลามจากผลิตภัณฑ์หูฉลามที่พบค้าขายอยู่ใน ไทยโดยใช้เทคนิคชีวโมเลกุล พบฉลามอย่างน้อย 15 ชนิดพันธุ์ ซึ่งชนิดพันธุ์ของฉลามส่วนใหญ่ (62%) ที่พบในหูฉลามที่ขายอยู่ในไทยมีสถานภาพถูกคุกคามจากการจัดสถานภาพความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ตามบัญชีแดงของ IUCN Red List

ฉลามหางจุด หรือ Spottail Shark (Carcharhinus sorrah) พบในตัวอย่างหูฉลามเป็นสัดส่วนมากที่สุด มีสถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (NT) ในระดับโลก แต่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ไปจากน่านน้ำไทยจากการประเมินใน Thailand Red Data นอกจากนี้พบปลาฉลามหัวค้อน สองชนิดพันธุ์ คือ ฉลามหัวค้อนสีน้ำเงิน หรือ Scalloped Hammerhead Shark (Sphyrna lewini) และ ฉลามหัวค้อนใหญ่ หรือ Great Hammerhead Shark (Sphyrna mokarran) ที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CR) จากการประเมินสถานภาพในระดับโลก และในไทย ซึ่งทั้ง 2 ชนิดพันธุ์อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของไทย
งานวิจัยดังกล่าว ถือเป็นการศึกษาที่ระบุชนิดพันธุ์ปลาฉลามจากผลิตภัณฑ์หูฉลามครั้งแรกในประเทศไทย และได้รับการเผยแพร่ใน วารสาร Conservation Genetics โดยผลการศึกษาตอกย้ำว่า หูฉลามในถ้วยซุปอาจมาจากฉลามที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ และยังสะท้อน ว่าตลาดค้าครีบฉลามในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการนําเข้าผลิตภัณฑ์ครีบฉลามมาจากหลายแหล่ง นอกจากนี้พบปลาฉลามที่มีสถานภาพ ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ใกล้สูญพันธุ์ และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ในครีบที่มีขนาดเล็กซึ่งมีโอกาสเป็นครีบจากฉลามวัยอ่อนอีกด้วย

“การพบชนิดพันธุ์ฉลามที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ไปจนถึงใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์หูฉลามที่ขายอยู่ในไทย สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์จากฉลาม โดยเฉพาะชนิดพันธุ์ที่ต้องการการอนุรักษ์อย่างเร่งด่วน และการพบชนิดพันธุ์ที่มีสถานภาพถูกคุกคาม ตาม IUCN Red List ในครีบขนาดเล็ก ทำให้ต้องมีการศึกษาการใช้ประโยชน์จากฉลามวัยอ่อนต่อไป เนื่องจากปลาฉลามวัยอ่อนจะเป็นกลุ่มประชากรที่สำคัญในการฟื้นตัวของประชากรปลาฉลามในอนาคต” ผศ.ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ ผู้วิจัยและอาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์และประมง คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. กล่าว
ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของชนิดพันธุ์ปลาฉลามและกระเบนทั่วโลกตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากการทำประมงมากเกินขนาด เพราะความต้องการนำทุกชิ้นส่วนไปบริโภค สอดคล้องกับการลดลงของประชากรฉลามในหลายส่วนทั่วโลก นอกจากนี้ผลการสำรวจความต้องการบริโภคหูฉลามในประเทศไทยโดยองค์กรไวล์ดเอดปีพ.ศ. 2560 พบคนไทยในเขตเมืองทั่วประเทศมากกว่า 60% ต้องการบริโภคหูฉลามในอนาคต เพราะความอยากรู้ อยากลอง และค่านิยมเดิม ๆ ของการบริโภคเมนูจากฉลามในงานฉลอง
“ในช่วง 20ปี มานี้ งานวิจัยหลายชิ้นเห็นตรงกันว่าประชากรฉลามหลายชนิดลดลงอย่างมากทั่วโลกรวมถึงในไทย จากอัตราการจับและการใช้ประโยชน์จากปลาฉลามที่มากเกินกว่าความสามารถในการฟื้นตัวของประชากรพวกมันในท้องทะเล ผลของงานวิจัยชิ้นนี้ยังช่วยยืนยันว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในผู้เล่นสำคัญในการนำเข้าและส่งออกหูฉลามในภูมิภาค สอดคล้องกับรายงานฉบับอื่นที่พูดถึงบทบาทการกระจายผลิตภัณฑ์หูฉลามของไทยในท้องตลาดในระดับสากล ถึงแม้ว่าในปัจจุบันการจับฉลามมาตัดครีบเป็นๆก่อนทิ้งร่างกายที่เหลือลงทะเลจะลดน้อยลงมากแล้วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่หูฉลามจำนวนมากมาจากฉลามที่ถูกจับจากเครื่องมือประมงทั่วไปก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธได้ยากถึงบทบาทของอุตสาหกรรมหูฉลามที่ส่งผลต่อประชากรปลาฉลามหลายชนิดที่ถูกคุกคามจนเสี่ยงต่อการสูญพันธ์และกระทบโครงสร้างของประชากรปลาฉลามไปแล้วหลายชนิดในอดีตรอบโลก” นายศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย ช่างภาพสื่อมวลชน นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และทีมนักวิจัย กล่าว
“ผลวิจัยสะท้อนชัดเจนว่าซุปหูฉลามที่ถูกเสิร์ฟนั้นอาจมาจากฉลามที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ แถมอาจจะเป็นฉลามวัยเด็กอีกด้วย ถ้าให้เปรียบก็เหมือนกับเรากำลังกินเสือหรือแม้แต่ลูกเสือที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของป่า การบริโภคของเราทุกคนจึงมีส่วนกำหนดชะตากรรมของฉลามหลายชนิดและย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงความสมดุลของท้องทะเลในที่สุด จริงๆแล้วการบริโภคที่ยั่งยืนเริ่มต้นได้ง่ายที่สุดด้วยการหยุดบริโภคฉลามโดยเด็ดขาด” ดร. เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ที่ปรึกษาองค์กรไวล์ดเอด และผู้ร่วมเขียนงานวิจัยกล่าว
“ฉลามเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญอย่างมากในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล กรมประมงตระหนักถึงความสำคัญนี้ และเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำและขับเคลื่อน แผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลาม ของประเทศไทย (NPOA-Sharks) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านบริหารจัดการทรัพยากรและการอนุรักษ์ฉลาม ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงการเก็บข้อมูลฉลามจากการส่งออกและนำเข้า และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากฉลาม กรมประมงยืนยันว่าจะให้ความสำคัญกับมาตรการเพื่อควบคุมติดตามและตรวจสอบการค้าฉลามชนิดพันธุ์ที่อยู่ในบัญชีของอนุสัญญาไซเตสเพื่อการใช้ประโยชน์จากฉลามอย่างยั่งยืนต่อไป“ นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าว
องค์กรไวล์ดเอดเตรียมดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความตระหนักต่อผู้บริโภคถึงผลกระทบจากการบริโภคเมนูจากฉลามจากผลการศึกษาดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในปีนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการจัดประชุมเสริมสร้างศักยภาพของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์ฉลามฯ อาทิ กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว กลุ่มชาวประมง และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อมุ่งสร้างการมีส่วนร่วมและผลักดันการอนุรักษ์ฉลามอย่างยั่งยืนต่อไป
ผลวิจัยที่สำคัญ
- ผลการตรวจดีเอ็นเอในหูฉลาม หรือครีบปลาฉลาม 206 ตัวอย่าง ที่เก็บจากแหล่งค้าในหลายจังหวัด พบฉลามอย่างน้อย 15 ชนิดพันธุ์
- ปลาฉลามส่วนใหญ่ (62%) ที่พบในหูฉลามที่ขายอยู่ในไทยมาจากฉลามที่เสี่ยงสูญพันธุ์ โดยมีสถานภาพถูกคุกคามจากการจัดสถานภาพความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ตามบัญชีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ IUCN Red List โดยพบฉลามที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU) 6 ชนิดพันธุ์ ใกล้สูญพันธุ์ (EN) 4 ชนิดพันธุ์ และใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CR) 3 ชนิดพันธุ์
- เมื่อพิจารณาเฉพาะชนิดพันธุ์ที่พบการแพร่กระจายในประเทศไทยตามการประเมินชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม Thailand Red Data โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พบว่ากว่า 80% ของปลาฉลามที่พบในผลิตภัณฑ์ครีบฉลาม ครั้งนี้อยู่ในสถานภาพที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU)
- พบฉลามที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CR) ทั้งในระดับโลกและในไทยที่หลายคนรู้จัก เช่น ฉลามหัวค้อนสีน้ำเงิน Scalloped hammerhead (Sphyrna lewini) และ ฉลามหัวค้อนใหญ่ Great hammerhead (Sphyrna mokarran) ซึ่งอยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของไทย และเป็นชนิดพันธุ์ควบคุมในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ หรือไซเตสอีกด้วย
- พบหูฉลามที่มีขนาดเล็ก มาจากปลาฉลามที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CR) ใกล้สูญพันธุ์ (EN) และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU) และมีโอกาสเป็นครีบจากฉลามวัยอ่อน
- ตลาดค้าหูฉลามในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการนําเข้าผลิตภัณฑ์ครีบฉลามมาจากหลายแหล่ง ทําให้พบชนิดพันธุ์ฉลามที่หลากหลาย โดยราว 1 ใน 3 ของชนิดปลาฉลามที่พบในงานวิจัยเป็นฉลามที่ไม่ปรากฎพบในน่านน้ำไทย



2022
มารีญา-ป้อง ณวัฒน์ เตือนกินเมนูฉลามระวังทำ ‘ทะเลคลั่ง’ ในโฆษณาชิ้นล่าสุด
มารีญา-ป้อง ณวัฒน์ เตือนกินเมนูฉลามระวังทำ ‘ทะเลคลั่ง’ ในโฆษณาชิ้นล่าสุดโดยองค์กรไวล์ดเอด
14 ก.ค. 2565 – องค์กรไวล์ดเอด เผยแพร่โฆษณารณรงค์ชิ้นล่าสุด “ทะเลคลั่ง” เนื่องในวันรู้จักฉลาม (Shark Awareness Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี ตอกย้ำความสำคัญของฉลามที่มีต่อทะเล และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับระบบนิเวศจากความต้องการบริโภคฉลาม พร้อมเปิดตัวคุณมารีญา พูลเลิศลาภ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2017 นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม และผู้ชื่นชอบการดำน้ำ เป็นทูตฉลามคนล่าสุดร่วมกับคุณป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษฺ์ เพื่อช่วยขับเคลื่อนโครงการรณรงค์ #ฉลองไม่ฉลาม ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมประมง
เนื้อหาโฆษณารณรงค์ ‘ทะเลคลั่ง’แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคเมนูจากฉลาม โดยเมื่อฉลามซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารหายไปกลายเป็นเมนูอาหาร ท้องทะเลอาจปั่นป่วน เพราะสัตว์ทะเลระดับรองๆที่เหลืออยู่ไม่อยู่กับร่องกับรอยจนทำให้ทะเลเสียสมดุล โดยเนื้อหาของโฆษณาได้รับแรงบันดาลใจจากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2548 ที่พบว่า เมื่อฉลามในแนวปะการังทะเลแคริบเบียนถูกจับมากเกินไปและมีจำนวนลดน้อยลง จะเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ และอาจทำให้แนวปะการังฟื้นตัวจากปัจจัยคุกคามอื่นๆ ที่เกิดจากมนุษย์ได้ยากลำบาก
“เมื่อก่อนมารีญาเคยกลัวฉลาม เพราะภาพจำของฉลามในสื่อต่างๆ แต่เมื่อได้เริ่มดำน้ำ ทำให้มารีญาเข้าใจในบทบาทของฉลามที่มีต่อทะเลและรับรู้ภัยคุกคามจากมนุษย์ที่ทำให้ฉลามหลายชนิดกำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ ทะเลที่ไม่มีฉลาม จะขาดความสมดุลและเป็นสิ่งที่เราควรจะกลัวมากกว่าเหมือนอย่างในโฆษณาชิ้นนี้ ทุกวันนี้ หมดยุคเมนูฉลามแล้ว และมารีญาหวังว่า จะช่วยสื่อสารให้คนทั่วไปเข้าใจบทบาทของฉลามในระบบนิเวศมากขึ้น” คุณมารีญา พูลเลิศลาภ ทูตฉลามองค์กรไวล์ดเอด กล่าว

“การเปลี่ยนแปลงค่านิยมการบริโภคต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญของฉลามที่มีต่อทะเล งานวิจัยในระยะหลังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการหายไปของฉลาม หรือการที่ฉลามเหลือน้อย จนนำมาซึ่งการสูญพันธุ์ของสัตว์กลุ่มรองๆ และกระทบถึงความสมบูรณ์ของปะการัง การฟื้นฟูระบบนิเวศต้องอาศัยห่วงโซ่อาหารที่สมบูรณ์ ดังนั้นฉลามหรือกระเบนที่เป็นสัตว์ผู้ล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ระบบนิเวศทำงานได้ตามปกติ” ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ และที่ปรึกษาองค์กรไวล์เอด ในประเทศไทย กล่าว
ผลการสำรวจความต้องการบริโภคหูฉลามในไทย พ.ศ. 2561 ขององค์กรไวล์ดเอดพบ คนไทยเขตเมืองมากกว่า 60% ยังต้องการบริโภคหูฉลามในอนาคต โดยบริโภคบ่อยที่สุดในงานฉลองต่างๆ นั่นคือ งานแต่งงาน งานรวมญาติ และงานเลี้ยงธุรกิจ ซึ่งเป็นที่มาของโครงการรณรงค์ #ฉลองไม่ฉลาม “เราทุกคนมีส่วนร่วมปกป้องฉลามได้ง่ายๆ ด้วยการแชร์โฆษณาชิ้นใหม่นี้ให้ทุกคนเห็น ช่วยกันบอกเพื่อนและคนในครอบครัวให้เข้าใจถึงความสำคัญของฉลาม เพราะเมื่อเรารู้บทบาทหน้าที่ของเค้าในธรรมชาติแล้ว เราจะอยากปกป้องเค้ามากขึ้น’ คุณณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ ทูตฉลามซึ่งได้ร่วมรณรงค์ในโครงการ #ฉลองไม่ฉลาม มาครบ 4 ปีแล้ว

การประเมินสถานภาพทางการอนุรักษ์ของฉลามในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2563 โดยสำนักงานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พบว่า ฉลามที่พบได้ในน่านน้ำไทยกว่าครึ่ง หรือ 47 ชนิด จาก 87 ชนิด มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable) ไปจนถึงใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically endangered) จากการทำประมงเกินขนาดและการถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้ ส่วนการประเมินความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของปลาฉลามและปลากระเบน ทั่วโลกครั้งใหม่ โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ที่เผยแพร่ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว พบว่า 1 ใน 3 ของสายพันธุ์ฉลามและกระเบนทั่วโลก กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์จากการจับปลาเกินขนาดเพื่อนำทุกชิ้นส่วนไปบริโภค
“ฉลามไม่ใช่สัตว์น้ำเศรษฐกิจ และไม่ใช่สัตว์น้ำเป้าหมายหลักในการทำประมง จึงไม่มีเครื่องมือประมงประเภทใดในประเทศไทยที่มุ่งจับฉลาม แต่ในทางกลับกันฉลามเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญอย่างมากในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล กรมประมงตระหนักถึงความสำคัญนี้ จึงเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำและขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย (NPOA-Sharks) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านบริหารจัดการทรัพยากรและการอนุรักษ์ฉลาม ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับภาคประชาชน โดยการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ฉลาม” คุณเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าว
“การอนุรักษ์ฉลามนอกจากจิตสำนึกแล้วยังต้องเร่งผลักดันด้านกฎหมายเพื่อคุ้มครองฉลามที่ใกล้สูญพันธุ์ ควบคู่ไปกับการสร้างความรู้ความเข้าใจต่อเยาวชนคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่าที่ยังมีค่านิยมผิดๆที่คิดว่าเมนูจากฉลามคือสุดยอดของอาหาร ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ประชากรฉลามในปัจจุบันอีกต่อไป กรม ทช.ขอเน้นย้ำความสำคัญของการเลิกบริโภคทุกๆ เมนูและผลิตภัณฑ์จากฉลามในทุกๆ โอกาสเพื่อรักษาความสมดุลแห่งท้องทะเลไทยสืบไป” คุณโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว
นอกจากนี้ องค์กรไวล์ดเอดเตรียมจัดกิจกรรมเพื่อลดความต้องการบริโภคฉลามอย่างต่อเนื่องในปีนี้ร่วมกับภาคีในภาคส่วนต่างๆ และได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรสื่อโฆษณานอกบ้านชั้นนำของไทยที่รวมถึงบริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ (บีเอ็มเอ็น) บริษัทแพลน บี มีเดีย และ บริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) ร่วมเผยแพร่สื่อรณรงค์ชุดใหม่ภายใต้โครงการ #ฉลองไม่ฉลาม ให้เข้าถึงคนไทยในจุดสำคัญๆ ทั่วประเทศอีกด้วย
โครงการรณรงค์ #ฉลองไม่ฉลาม รวมถึงโฆษณา ‘ทะเลคลั่ง’ สร้างสรรค์โดยบริษัท #BBDOBangkok เอเจนซี่โฆษณาแถวหน้าของไทย ให้กับองค์กรไวลด์เอด
ติดตามโครงการรณรงค์ของไวล์ดเอดได้ทุกช่องทาง
Facebook | WildAidThailand
Instagram | @WildAidThailand
Twitter | @WildAidThailand
TikTok | @WildAidThailand
2021
องค์กร WildAid และ WWF ประเทศไทย ระดมน้องเหมียว ชวน ‘มานุดหยุดกินฉลาม’ เปิดตัวโครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’
องค์กร WildAid และ WWF ประเทศไทย ระดมน้องเหมียว ชวน ‘มานุดหยุดกินฉลาม’ เปิดตัวโครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’
กรุงเทพฯ (30 มีนาคม 2565) – องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สำนักงานประเทศไทย (WWF ประเทศไทย) เปิดตัวโครงการรณรงค์ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’ ระดมพลังแมว 1 ในสัตว์เลี้ยงยอดนิยม ของคนไทยและทั่วโลก มาร่วมขับเคลื่อนการปกป้องฉลาม ด้วยการโน้มน้าวให้ผู้ที่รักและเลี้ยงแมว ผู้รักสัตว์เลี้ยง และคนทั่วไป เลิกบริโภค เพราะเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรฉลามทั่วโลกกำลังมีจำนวนลดลง จนอาจกระทบความสมดุลของ ท้องทะเล และขอเชิญชวนให้ทุกคนอัพโหลดรูปแมว หรือสร้างสรรค์แมวในแบบของตัวเองที่ www.catsforsharks.com พร้อมติด แฮชแท็ก #CatsForSharks #มานุดจงหยุดกินฉลาม เพื่อบอกต่อเพื่อนและคนในครอบครัวให้ร่วมกันเลิกบริโภคเมนูจากฉลาม


นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กร ได้เผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณา ที่มีแมวเป็นตัวเอกของเรื่อง เล่าให้ ‘มานุด’ ที่กำลังกิน หูฉลามฟังว่า หากฉลามที่เป็นผู้คุมระบบนิเวศในทะเลหายไป ปลาและสัตว์ทะเลบางชนิดอาจมีมากหรือน้อยเกินไป จนทำให้ทะเลเสียสมดุล และอาจส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลหลายๆ อย่างที่เป็นอาหารของมนุษย์และน้องแมวอีกด้วย
ทั้งนี้ โครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’ ใช้กลยุทธ์การสื่อสารผ่านแมว ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่มี ความใกล้ชิดกับมนุษย์เป็นผู้บอกเล่าเรื่องฉลาม ให้เป็นเรื่องใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น โดยเป็นกลยุทธ์การตลาดที่หลายแบรนด์ นิยมใช้เพื่อเพิ่มพลังในการสื่อสาร แต่นี่คือครั้งแรกที่ ‘น้องแมว’ จะช่วยบอกเล่าเรื่องเร่่งด่วนของ ‘ฉลาม’ ให้ ‘มนุษย์’ ทราบ และเร็วๆ นี้ เหล่าน้องแมวจากเพจแมวที่มีชื่อเสียงจะมาช่วยกันบอกต่อ ถึงความสำคัญและสถานภาพที่น่าเป็นห่วงของฉลาม ไปยังผู้ติดตามผ่านช่องทางออนไลน์อีกด้วย


จากผลสำรวจขององค์กรไวล์ดเอด ปี พ.ศ. 2560 พบว่าคนไทยจำนวนมากยังคงมีความต้องการบริโภคหูฉลาม โดยคนไทยที่อาศัยในเขตเมืองทั่วประเทศมากกว่าครึ่งเคยบริโภคหูฉลาม และมากกว่า 60% มีแนวโน้มจะบริโภค หูฉลามในอนาคต นอกจากนั้นในการประเมินสถานภาพทางการอนุรักษ์ของฉลามในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2563 โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พบว่า ฉลามที่พบได้ในน่านน้ำไทยกว่าครึ่ง หรือ 47 ชนิด จาก 87 ชนิด มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable) ไปจนถึงใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically endangered) จากการทำ ประมงเกินขนาดและการถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้ส่วนการประเมินความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของปลาฉลามและปลากระเบน ทั่วโลกครั้งใหม่ โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ที่เผยแพร่ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว พบว่า 1 ใน 3 ของสายพันธุ์ฉลามและกระเบนทั่วโลก กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์จากการจับปลาเกินขนาดเพื่อนำทุกชิ้นส่วนไปบริโภค หากฉลามหายไป อาจส่งผลเสียหายต่อระบบนิเวศ เพราะฉลามมีบทบาทสำคัญช่วยรักษาความสมดุลของท้องทะเล
“ฉลามยังคงเผชิญภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง การรณรงค์เพื่อลดการบริโภคยังคงมีความจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง เราจึงหาวิธีใหม่ๆ เพื่อทำให้เรื่องนี้เป็นที่สนใจของสังคมอยู่เสมอ เราหวังว่าโครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม’ จะสามารถ สื่อสารไปยังกลุ่มคนใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเข้าถึงมาก่อน และโน้มน้าวผู้ที่บริโภคให้ปฏิเสธเมนูจากฉลามอย่างถาวร เพราะเราเชื่อว่า ทุกคนอยากมีส่วนร่วมในการปกป้องท้องทะเลเช่นกัน” มร. จอห์น เบเกอร์ ผู้อำนวยการโครงการรณรงค์ องค์กรไวล์ดเอด กล่าว
ฉลาม มีบทบาทสำคัญต่อความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร เช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว พบ ฉลามเสือช่วยทำให้เต่าทะเล และพะยูนหากินตามแนวหญ้าทะเลแบบกระจายตัว เพราะความระแวงฉลามเสือ จึงเป็นการป้องกันแนวหญ้าทะเลบางบริเวณ ไม่ไห้ได้รับความเสียหายมากเกินไป แนวหญ้าทะเลนอกจากจะเป็น แหล่งอาศัยของสัตว์น้ำวัยอ่อนแล้ว ยังเป็นแหล่งดูดซับ และกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้เร็วกว่าป่าฝนเขตร้อนถึง 35 เท่า ดังนั้น จึงเท่ากับว่าฉลามเสือช่วยชะลอผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทางอ้อมอีกด้วย
นอกจากนี้ ฉลามยังเป็นหลักประกันชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์หลายล้านคนทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาระบบนิเวศทางทะเล เพื่อเป็นแหล่งอาหาร หรือสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและการดำรงชีวิต ดังนั้นการค้าและการบริโภคผลิตภัณฑ์จาก ฉลามที่ไม่ยั่งยืน เช่น ครีบ เนื้อ น้ำมัน รวมถึงการถูกจับเป็นสัตว์น้ำพลอยได้ กำลังทำให้ประชากรฉลามหลายชนิดทั่วโลก ลดลงอย่างน่าเป็นห่วง
“เราหวังว่าโครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’ จะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภค ที่ไม่ยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ฉลามและกระเบน ที่มีต่อการลดลงของประชากรอย่างน่าเป็นห่วง อันที่จริง เราเริ่มเห็นการสูญพันธุ์ เป็นครั้งแรกของโลกแล้ว ซึ่งอาจรวมถึงฉลามอย่างน้อย 1 ชนิดที่เคยพบเห็นได้ในน่านน้ำไทย หากเราร่วมกันลดการบริโภค ตั้งแต่บัดนี้ สถานการณ์ต่างๆ อาจยังไม่สายเกินไป ” ดร. แอนดี้ คอร์นิช หัวหน้าโครงการอนุรักษ์ปลาฉลามและปลากระเบน ทั่วโลก องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล กล่าว
นอกเหนือจากโครงการ ‘เหมียว ช่วย ฉลาม – Cats for Sharks’ องค์กรไวล์ดเอด และ WWF ประเทศไทย เตรียมเผยแพร่ สื่อรณรงค์เพื่อลดความต้องการบริโภคฉลามอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และจะร่วมกับพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่าย สนับสนุนการมีส่วนร่วม และผลักดันแนวทางการอนุรักษ์ฉลามต่อไป
องค์กรไวล์ดเอด และ WWF ประเทศไทย ขอขอบคุณมูลนิธิเจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก และผู้บริจาคให้กับองค์กรไวล์ดเอด
ที่ให้การสนับสนุนโครงการรณรงค์เพื่อลดความต้องการบริโภคฉลามในประเทศไทย
2021
ไวล์ดเอด ชวนทุกคนหยุดยั้งการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ออนไลน์-ปฏิเสธการบริโภคเมนูฉลาม
องค์กรไวล์ดเอด ชวนทุกคนหยุดยั้งการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายออนไลน์-ปฏิเสธการบริโภคเมนูฉลาม
กรุงเทพฯ (3 มีนาคม 2564) – เนื่องในวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 3 มีนาคมของทุกปี
องค์กรไวล์ดเอดเผยแพร่สื่อรณรงค์ทางโซเชียล มีเดียชุดใหม่ ชวนทุกคนต่อต้านการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายบนโลกออนไลน์ และทุกรูปแบบ ด้วยการไม่ซื้อ ไม่ใช้ และแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเมื่อพบเห็นการค้าและการครอบครองสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าผิดกฎหมาย รวมถึงการปฏิเสธการบริโภคที่ไม่ยั่งยืนอย่างเมนูฉลาม
สื่อรณรรงค์ชุดใหม่ทั้ง 5 ภาพ สร้างสรรค์โดย บริษัท BBDO Bangkok เอเจนซี่โฆษณาระดับแนวหน้าของไทยให้กับองค์กรไวลด์เอด โดยได้หยิบยกสัตว์ป่าและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าที่มักถูกลักลอบค้าอย่างผิดกฎหมาย อย่าง ช้างแอฟริกา เสือ แรด และนกชนหินมานำเสนอ รวมถึง ฉลาม สัตว์ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศซึ่งถูกล่าเพื่อการบริโภคที่ไม่ยั่งยืน พร้อมกับนำอีโมติคอน หรือ สัญลักษณ์แทนอารมณ์โกรธที่ผู้ใช้โซเชียล มีเดียอย่างเฟซบุ้คคุ้นเคยเป็นอย่างดี ใส่ไว้ตรงส่วนที่เป็นที่ต้องการของการค้าสัตว์ป่า สะท้อนให้เห็นว่า การล่าสัตว์ป่าที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์เพื่อนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้และถูกนำเข้าสู่กระบวนการการค้าอย่างผิดกฎหมายในโลกออนไลน์ หรือทุกรูปแบบ เป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่ควรจะยอมรับให้มีอยู่อีกต่อไป


ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายในหลายประเทศรวมถึงไทย ได้ย้ายแหล่งการซื้อขายมาอยู่บนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ ข้อมูลจากเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าสัตว์ป่าและพืชป่า หรือ TRAFFIC พบว่า ในช่วงเวลาเพียง 5 วันของเดือนกรกฎาคมปี 2562 มีการโพสต์จำหน่ายผลิตภัณฑ์งาช้างจำนวน 2,489 ชิ้น ใน 545 โพสต์ ทางโซเชีย มีเดียในประเทศอินโดนิเซีย ไทย และเวียดนาม ส่วนการสำรวจเวบไซต์และช่องทางอี-คอมเมิร์ซของจีนระหว่างปี 2555-2559 พบการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์งาช้างมากที่สุด (60%) รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์จากนอแรด (20%)
นอกจากนั้น การสำรวจเพื่อประเมินและประมาณขนาดการค้านกชนหิน รวมถึงชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ของนกเงือกชนิดพันธุ์อื่นๆ บนสื่อสังคมออนไลน์หรือเฟซบุ๊กในไทยขององค์กร TRAFFIC พบการโพสต์ขายผลิตภัณฑ์จากนกชนหิน คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 83 เปอร์เซ็นต์ จากชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์นกเงือกทั้งหมดซึ่งถูกเสนอขายในช่วงเวลา 64 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 ถึง เมษายน 2562 และด้วยเหตุนี้ ทำให้เกิดกระแสจากองค์กรอนุรักษ์หลายแห่งในไทยกำลังพยายามผลักดันให้นกชนหิน เป็น 1 ในสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 ของไทย

“เราหวังว่า สื่อรณรงค์ชุดใหม่จะมีส่วนทำให้สังคมไม่ยอมรับการซื้อขายผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าผิดกฎหมายทางออนไลน์และทุกรูปแบบ รวมถึงการบริโภคที่ไม่ยั่งยืนอย่างเมนูฉลามมากยิ่งขึ้น เพราะ ‘หยุดซื้อ คือ หยุดฆ่า’ ไวล์ดเอดให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์สื่อรณรงค์ที่คำนึงถึงเทรนด์ใหม่ๆ ในสังคม บนพื้นฐานของข้อมูลการค้าและผู้บริโภคเพื่อให้การรณรงค์เกิดประสิทธิผลสูงสุด” นายจอห์น เบเกอร์ ผู้อำนวยการโครงการรณรงค์ องค์กรไวล์ดเอดกล่าว
สหประชาชาติ ประเมินว่าการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายทั่วโลก มีเม็ดเงินเกี่ยวข้องอยู่ระหว่าง 7,000ล้านเหรียญ ถึง 23,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นอาชญากรรมอันดับ 4 ของโลกรองจากการค้าอาวุธ ยาเสพติด และการค้ามนุษย์ เพียงเพราะความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศที่ผู้บริโภคเริ่มมีกำลังซื้อในทวีปเอเชีย โดยการครอบครองและบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า สะท้อนถึงฐานะ บารมี และความเชื่อผิดๆ ว่ามีประโยชน์ในการรักษาโรค แต่จริงๆ แล้วนอกจากจะเสี่ยงสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ยังเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคจากสัตว์ป่าสู่คนจากการที่สัตว์หลายชนิดต้องอยู่รวมกันอย่างแออัดทั้งๆ ที่ไม่ควรอยู่ด้วยกัน การขนส่ง ความเครียด และปัจจัยอื่นๆ อีกมาก


“บีบีดีโอ กรุงเทพฯ ภูมิใจที่ได้มีส่วนปกป้องสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ร่วมกับองค์กรไวล์ดเอด เราเป็นกังวลต่อแนวโน้มประชากรสัตว์ป่าหลายชนิดที่กำลังลดลงต่อเนื่องทั่วโลกและการค้าซากและชิ้นส่วนสัตว์ป่าเหล่านั้น เช่น ผลิตภัณฑ์งาช้าง นอแรด เสือโคร่ง รวมถึงการบริโภคเมนูจากฉลาม เราเชื่อมั่นว่า สื่อรณรงค์ชุดนี้ซึ่งได้เผยความจริงที่น่าเป็นห่วงอย่างตรงไปตรงมา จะหยุดยั้งการซื้อการใช้ และทำให้ผู้บริโภคผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าต้องฉุกคิดกับผลกระทบของตนเอง ที่กำลังคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพของโลก” นายสมเกียรติ ลาภธนัญชัยวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บีบีดีโอ กรุงเทพฯ กล่าว
“ทุกการกระทำของเราทุกคน แม้เพียงเล็กน้อยมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง #ReactAgainstWildlifeTrade กดโกรธทุกครั้งให้กับการฆ่าสัตว์ป่าเพื่อการค้าและการบริโภค” นายอนุวรรต นิติภานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ บีบีดีโอ กรุงเทพฯ กล่าว
พบเห็นการล่า ค้า และครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครอง และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าผิดกฎหมาย โทรแจ้ง 1362 เฟซบุ้คเพจ สายด่วน 1362 เฟซบุ้คเพจ ชุดปฏิบัติการพิเศษเหยี่ยวดง และเฟซบุ้คเพจ บก.ปทส.Greencop-Thailand
สื่อรณรงค์ชุดใหม่ จะเผยแพร่ทางโซเชียล มีเดียขององค์กรไวล์ดเอด ในสหรัฐฯ ฮ่องกง และ ไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป
2020
ไวล์ดเอด-ไทยรัฐทีวี เปิดตัว ‘ทอล์กนี้เพื่อเปลี่ยน’ ทบทวนระยะห่างมนุษย์-สัตว์ป่าจากโควิด-19

องค์กรไวล์ดเอดและไทยรัฐทีวี เปิดตัว ‘ทอล์กนี้เพื่อเปลี่ยน’ ทบทวนระยะห่างมนุษย์-สัตว์ป่าจากโควิด-19
องค์กรไวล์ดเอด ร่วมกับ ไทยรัฐทีวี เปิดตัว “ทอล์กนี้เพื่อเปลี่ยน’ รายการออนไลน์ 4 ตอน สร้างความเข้าใจและเชื่อมโยงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์เอง เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคระบาดแบบโควิด-19 ในอนาคต
การวิจัยพบว่า 71% ของโรคติดต่ออุบัติใหม่ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่อีโบลา เมอร์ส ซาร์ส นิปาห์ มีที่มาจากสัตว์ป่า เช่นเดียวกับ โควิด-19 ที่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าเชื้อไวรัสข้ามจากค้างคาวที่เป็นแหล่งรังโรคสู่สัตว์ตัวกลางก่อนที่จะระบาดสู่คน โดยมีปัจจัยเร่งให้เกิดการแพร่ระบาดจากการที่มนุษย์และสัตว์สัมผัสกันใกล้ชิด ทั้งจากกระบวนการค้าสัตว์ป่า และที่ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าถูกทำลาย การทบทวนระยะห่างระหว่างมนุษย์และสัตว์ป่าจึงสำคัญยิ่ง
เนื้อหาตอนแรก ‘ห่างอีกสักนิดมนุษย์-สัตว์ป่า’ มุ่งสร้างความเข้าใจที่มาของโรคระบาดจากสัตว์สู่คนในอดีต และเชื่อมโยงให้เห็นว่าปัจจัยหลายๆ อย่างจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น ความต้องการผลิตภัณฑ์สัตว์ป่า ทั้งจากการบริโภค การซื้อ ใช้ผลิตภัณฑ์รวมไปถึงการเลี้ยงสัตว์ป่าผิดกฎหมาย ทำให้คนต้องสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ป่ามากขึ้น และความต้องการเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงที่เชื้อโรคจะแพร่จากสัตว์สู่คน โดยมีคุณโน้ต วัชรบูล ลี้สุวรรณ นักแสดงและทูตองค์กรไวล์ดเอด ที่สั่งสมมุมมองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมไทยจากความชื่นชอบในการเดินป่า และถ่ายภาพสัตว์ป่ามากว่า 10 ปี และ ทนพ. ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์เจ้าของเพจหมอแล็บแพนด้า เป็นผู้ร่วมทอล์ก และมีคุณจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ พิธีกรรายการถามตรงๆ ทางไทยรัฐทีวี เป็นผู้ดำเนินรายการ
ปัจจุบันคุณวัชรบูล เป็นกรรมการมูลนิธิสืบนาคะสเถียร และจากนี้จะร่วมเป็นกระบอกเสียงช่วยรณรงค์ให้คนทั่วไปเห็นความสำคัญของการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่รวมถึงสัตว์ป่าในฐานะทูตองค์กรไวล์ดเอดด้วย


ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสประเมินว่า ในบรรดาไวรัส 1.6ล้านชนิดที่คาดว่าพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนก มีไวรัสราว 700,000 ชนิดที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดในคน ด้าน ทนพ. ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เจ้าของเพจหมอแล็บแพนด้า เพจด้านสุขภาพชื่อดังในโซชียล มีเดีย กล่าวว่า “เชื้อโรคใช้เวลาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ หนีวัคซีน หนีสิ่งแวดล้อม หนียารักษาโรค ถ้าเรานำตัวเองไปเสี่ยงคลุกคลีกับเชื้อโรคเรื่อยๆ มันจะใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี ถึงจะมีโรคอุบัติใหม่ขึ้น และส่วนใหญ่มาจากสัตว์ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่อีโบลา ซารส์ เมอร์ส ไข้หวัดหมู จนมาถึงกระสุนลูกล่าสุด คือ โควิด-19 เราถูกเตือนมาหลายครั้งแล้วว่า มนุษย์ควรรักษาระยะห่างระหว่างคนและสัตว์ป่าอย่างยั่งยืน ไม่ไปกวนที่อยู่อาศัยของเขาในธรรมชาติ เคารพและปฏิบัติตามกฎระเบียบการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติที่มีอยู่แล้วก่อนหน้าโควิด-19 อย่างจริงจัง”
นายวัชร วัชรพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจ ไทยรัฐทีวีและไทยรัฐออนไลน์ กล่าวถึงความร่วมมือผลิตรายการ “ทอล์กนี้เพื่อเปลี่ยน” กับองค์กรไวล์ดเอดว่า “ไทยรัฐทีวีและออนไลน์ยืนหยัดที่จะเป็นผู้นำในการผลิตและนำเสนอเนื้อหาประเด็นเร่งด่วนของสังคมไทย โดยเฉพาะเนื้อหาที่ครอบคลุมทุกแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโควิด-19 โดยไทยรัฐผลิตและเผยแพร่รายการออนไลน์ร่วมกับองค์กรไวลด์เอด ผ่านทางช่องทางออนไลน์และโซเขียลมีเดียที่แข็งแกร่งของเรา เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้คนไทยเห็นความสำคัญของการดูแลปกป้องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมถึงสัตว์ป่า เพื่อป้องกันโรคติดต่ออุบัติใหม่ในอนาคต ถึงเวลาที่เราต้องทบทวนและมองไปข้างหน้าร่วมกัน เพราะ New Normal ระหว่างมนุษย์ สิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป”
รายงานล่าสุดปี 2563 ของ WWF หรือองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ที่สำรวจคนไทยหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบคนไทยราว 15% บอกว่า ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เคยมีบุคคลใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสัตว์ป่า กว่า 90% สนับสนุนให้รัฐบาลยุติตลาดซื้อขายสัตว์ป่า ขณะที่อีก 79% เชื่อว่าการปิดตลาดจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคอีกในอนาคต
องค์กรไวล์ดเอด ทำงานรณรงค์ด้านการลดความต้องการผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าเพื่อยุติการค้าสัตว์ป่าทั้งในเอเชีย และแอฟริกามาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว การแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนให้เห็นความจำเป็นของการสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนว่าการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่รวมถึงสัตว์ป่า เท่ากับการปกป้องสุขภาพของมนุษย์ “การได้รับความอนุเคราะห์ผลิตรายการออนไลน์กับไทยรัฐทีวี ทำให้เราสื่อสารประเด็นเร่งด่วนไปยังสาธารณชนได้อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทยเราจะมุ่งเน้นให้ความเข้าใจเรื่องความเสี่ยงด้านสาธารณสุขจากการกิน ล่า ค้า และเลี้ยงสัตว์ป่าผิดกฎหมาย โดยจะทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ บุคคลที่มีชื่อเสียง และสื่อเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ต่อไป” มร. จอห์น เบเกอร์ ผู้อำนวยการโครงการรณรงค์ องค์กรไวล์ดเอด กล่าว
รายการออนไลน์ ‘ทอล์กนี้เพื่อเปลี่ยน’ จัดขึ้นเดือนละ 1 ครั้งไปจนถึงเดือนกันยายน รวม 4 ตอน รับชมตอนแรก ‘ห่างอีกสักนิดมนุษย์-สัตว์ป่า’ ย้อนหลังได้ทางเฟซบุ้ค ThairathTV และ WildAidThailand ช่องยูทูบของ Thairath และติดตามรายละเอียดตอนที่ 2 ได้ทางเฟซบุ้คเพจ WildAidThailand และ ThairathTV เร็วๆนี้
2019
ไวล์ดเอด จับมือแพลน บี มีเดีย ชวน #ฉลองไม่ฉลาม ผ่านสื่อดิจิตอล ย่านช้อปปิ้งชื่อดังในวันรู้จักฉลาม
ไวล์ดเอด จับมือแพลน บี มีเดีย ชวน #ฉลองไม่ฉลาม ผ่านสื่อดิจิตอลย่านช้อปปิ้งชื่อดังเนื่องในวันรู้จักฉลาม
กรุงเทพฯ (12 กรกฎาคม 2562) – องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) ร่วมกับบริษัทแพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ผู้นำในบริการสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย (Out of Home Media) ผนึกกำลังปกป้องฉลาม ผู้รักษาความสมดุลของระบบนิเวศในท้องทะเล ด้วยสื่อรณรงค์ชุดใหม่ล่าสุดชวนทุกคน #ฉลองไม่ฉลาม ด้วยการไม่เสิร์ฟ ไม่ทานหูฉลามในงานแต่งงาน และงานฉลองต่างๆ ผ่านสื่อดิจิตอลของแพลน บี
ในย่านศูนย์การค้าชื่อดังกลางกรุงเทพมหานคร อย่าง EM District เนื่องในวันรู้จักฉลาม หรือ Shark Awareness Day ที่ตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปี
สื่อรณรงค์ล่าสุดที่ผลิตโดยองค์กรไวล์ดเอด มีเป้าหมายเพื่อบอกว่า การจัดงานแต่งงาน ถึอเป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ของชีวิต มีเรื่องให้ต้องเลือก ต้องตัดสินใจมากมาย และสิ่งที่เลือกมาเป็นส่วนหนึ่งของงาน อาจมีผลกระทบตามมาอย่างที่เราคาดไม่ถึง การเสิร์ฟหูฉลามในวันสำคัญ คือการเลือกที่แย่ที่สุด เพราะฉลาม คือสัตว์ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ ที่เปรียบเหมือนเสือในป่า พวกมันกำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่เกิดจากความต้องการบริโภค และการประมงเกินขนาด
ผู้ที่ผ่านไปมาบริเวณ Em District สามารถติดตามสื่อรณรงค์ล่าสุดนี้ที่จอด้านหน้าศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม และเอ็มควอเทียร์ ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม


ทุกๆ ปี มีฉลามมากถึง 100 ล้านตัวถูกฆ่า และในจำนวนนี้ ครีบจากฉลามมากถึง 73 ล้านตัว ถูกนำไปทำเป็นซุปหูฉลาม หรือเมนูอื่นๆ ผู้บริโภคจำนวนมากไม่ทราบถึงการกระทำอันโหดร้ายเบื้องหลังเมนูหูฉลาม ที่ฉลามจะถูกลากขึ้นมาเพื่อเฉือนครีบของมันออกทั้งหมด ก่อนจะถูกโยนทิ้งกลับลงสู่ท้องทะเล ซึ่งทำให้ฉลามเหล่านั้นต้องจมน้ำตายทั้งเป็น เนื่องจากสูญเสียครีบอันเป็นอวัยวะสำคัญในการดำรงชีวิต
ผลสำรวจความต้องการบริโภคหูฉลามในประเทศไทย พ.ศ 2560 ขององค์กรไวลด์เอดที่พบว่า คนไทยในเขตเมืองมากกว่าครึ่งเคยบริโภคหูฉลาม และมากกว่า 60% ต้องการบริโภคหูฉลามในอนาคต โดยผู้บริโภคทานหูฉลามบ่อยครั้งที่สุดที่งานรื่นเริงต่างๆ นั่นคือ งานแต่งงาน (72%) งานรวมญาติ (61%) และงานเลี้ยงธุรกิจ (47%) ซึ่งเป็นที่มาของสื่อรณรงค์ชุดใหม่ เดินหน้าโครงการรณรงค์ #ฉลองไม่ฉลาม ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

“บริษัทแพลน บี มีเดีย ภูมิใจที่ได้ร่วมกับองค์กรไวล์ดเอดในการปกป้องฉลาม เราตระหนักดีถึงการลดลงของประชากรฉลามทั่วโลก และความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องสร้างความตระหนักในเรื่องนี้ต่อสาธารณชน ความร่วมมือระหว่างแพลน บี และไวล์ดเอด ตอกย้ำถึงการยึดมั่นในนโยบายในการส่งเสริม และสนับสนุนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เราเชื่อว่า นวตกรรมสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองซึ่งเป็นจุดแข็งของเรา ผนวกกับสื่อรณรงค์สร้างสรรค์ อย่างโครงการ #ฉลองไม่ฉลาม ขององค์กรไวล์ดเอดจะทำให้การรณรงค์เข้าถึงสาธารณชนจำนวนมากตลอดทั้งเดือนนี้ และเรายินดีที่เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความสมดุลกลับคืนสู่ท้องทะเล” คุณปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) กล่าว
ที่ผ่านมา บริษัท แพลน บี มีเดีย ได้ยึดมั่นและส่งเสริมนโยบายการสร้างสังคมที่ยั่งยืน โดยเอื้อเฟื้อพื้นที่โฆษณาของบริษัทเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการขององค์กรไม่แสวงผลกำไรหลายแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม

“ความร่วมมือระหว่างองค์กรไวล์ดเอด และ บริษัทแพลน บี ถือว่าสำคัญมากในการยกระดับการเผยแพร่โครงการ #ฉลองไม่ฉลาม ให้เข้าถึงสาธารณชนหลายล้านคนในประเทศไทย เราเชื่อว่าการสนับสนุนจากแพลน บีในครั้งนี้ จะสามารถผลักดันค่านิยมใหม่ของการไม่เสิร์ฟ ไม่ทานหูฉลามในงานแต่งงาน และในทุกๆ โอกาสให้เป็นที่แพร่หลายในสังคมมากยิ่งขึ้น” นายจอห์น เบเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการรณรงค์ องค์กรไวล์ดเอด กล่าว
โครงการรณรงค์ #ฉลองไม่ฉลาม และสื่อรณรงค์ชุดใหม่ล่าสุดสร้างสรรค์โดยบริษัท #BBDOBangkok
เอเจนซี่โฆษณาแถวหน้าของไทย ให้กับองค์กรไวลด์เอด นอกจากสื่อโฆษณาภายนอกบ้านแล้ว จะเผยแพร่สื่อดังกล่าวทางโซเชียล มีเดีย และออนไลน์อื่นๆ